Category Archives: Uncategorized

มาปรับแต่ง Woocommerce ให้เด่นดึงยอดกัน

ถึงเวลาที่ผู้ประกอบการทั้งหลายจะมาเพิ่มสกิลในการขายของกันอีกเลเวลหนึ่งกันแล้วด้วย Woocommerce ขั้นกว่าของ WordPress ที่เหมาะกับธุรกิจออนไลน์เป็นอย่างมาก ซึ่งเพิ่งจะรันวงการได้ไม่นานแต่กลับเรียกยอดดาวน์โหลดไปอย่างถล่มทะลาย โปรแกรมนี้มีดีอะไร แล้วถ้าสนใจอยากจะทำให้ปังบ้างควรทำอย่างไรวันนี้เราเตรียมสารพัดคำตอบตรงใจมาไว้ให้คุณที่นี่เรียบร้อยแล้ว

 

ก่อนจะรุ่งต้องรู้จักว่า Woocommerce คืออะไรกันก่อน

หลายคนน่าจะพอคุ้นเคยกับ WordPress กันดีอยู่แล้วดังนั้นเราจะเล่าต่อเลยว่าสำหรับ Woocommerce นั้นคืออีกขั้นของการพัฒนาใน WordPress นั่นเอง โดยเน้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะเพราะเป็น Woocommerce Plugin นั้นได้ถูกออกแบบมาให้มีระบบการซื้อขายพื้นฐานที่จบ ครบ เสร็จ ทั้งในเรื่องของระบบตะกร้าสินค้ายาวไปถึงช่องทางการจ่ายเงินและขนส่ง ซึ่งผู้ประกอบการรายย่อยหลายคนอาจกังวลเรื่องของความสวยงามในหน้าเว็บแต่ไม่อยากเปลืองงบจ้างกราฟฟิกก็บอกเลยว่ามี

Woocommerce Theme เตรียมเอาไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้วแถมยังสวยเหมือนจ้างมืออาชีพมาทำเลยทีเดียว ข้อดีคือถ้าคุณพอใจกับสิ่งที่ Woocommerce ให้มาอยู่แล้วก็เริ่มใช้งานกันได้เลยแต่ถ้าอยากตกแต่งเพิ่มเติมก็สามารถชำระเงินเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงฟังก์ชั่นและฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ตามที่ต้องการกันอีกด้วย

 

ทำไมต้องเลือก Woocommerce ?

หลายคนอาจสงสัยว่า E-Commerce กับ WordPress และ Woocommerce นั้นไม่ได้เหมือน ๆ กันหรืออย่างไร และถ้าต่างจะต่างกันตรงไหน วันนี้เราจะลองมาเล่าถึงเหตุผลที่ร้านค้าออนไลน์หลาย ๆ ร้านควรเลือก Woocommerce เป็นช่องทางการค้ากัน

1. ฟรี
คำเดียวสั้น ๆ ได้ใจผู้ประกอบการทุกคนเรียบเพราะ Woocommerce เป็นการช่วยประหยัดต้นทุนได้เป็นอย่างดี แถมยังมี WordPress Woocommerce สอนการใช้งานคุณอยู่ทั่วโลกออนไลน์ ทำให้ของฟรีชนิ้นนี้สามารถพัฒนาด้วยมือคุณและสร้างกำไรเข้ากระเป๋าได้ง่าย ๆ เพียงแค่คุณทำการเข้า Woocommerce Download เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มต้นการทำธุรกิจกันได้แล้ว

2. SEO เยี่ยม
ธุรกิจออนไลน์รู้กันดีกว่า SEO มีค่ากับยอดขายของพวกเขามากแค่ไหน และถ้าคุณสามารถเจอกับช่องทางร้านค้าออนไลน์ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายได้เพราะเหมาะกับ SEO ด้วยล่ะก็คุณก็จะยิ่งพาธุรกิจของคุณก้าวกระโดดมากขึ้นได้ ซึ่ง Woocommerce มีสิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์คุณ
เหตุผลที่ทำให้ WordPress และ Woocommerce ติดอันดับ Search Engine ได้ง่าย ๆ ก็เป็นเพราะ Woocommerce Theme นั่นเอง ทางแพลตฟอร์มจะทำการแจ้งเว็บอื่น ๆ ให้มาเก็บ Ping หรือข้อมูลไปแบบอัตโนมัติถ้าคุณใช้ SEO ถูกต้องรับรองว่าสิ่งที่คุณทำจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

3. ดีไซน์ปรับง่ายตามใจคุณ
เอกลักษณ์คือสิ่งที่ธุรกิจทุกธุรกิจต้องการมีและ Woocommerce ตอบโจทย์คุณได้ เพราะด้วย Woocommerce Theme และ Woocommerce Plugin ที่ให้คุณปรับแต่งทุกอย่างได้อิสระคุณจึงสามารถดีไซน์ให้ร้านค้าและแหล่งข้อมูลของคุณเตะตาและดึงดูดใจลูกค้าได้มากเท่าที่ต้องการ แถมทั้ง Theme พร้อมทั้ง Plugin เหล่านี้ยังอัพเดตตลอดทำให้มั่นใจได้เลยว่าการลงทุนของคุณจะคุ้มค่า

 

ใครบ้างที่เหมาะกับ Woocommerce

มาถึงคำถามยอดฮิตของคนค้าขายเพราะจะลงทุนเงินและเวลากับอะไรก็ต้องมั่นใจว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์ สำหรับธุรกิจและกิจกรรมที่เราแนะนำว่าเหมาะมากจะใช้ Woocommerce ก็คือ

  • ร้านค้าออนไลน์
    ข้อนี้อาจไม่ต้องพูดกันมากเพราะเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า Woocommerce สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองธูรกิจนี้เป็นอันดับต้น ๆ ดังนั้นถ้าคุณกำลังเริ่มต้นการค้าใช้ Woocommerce ช่วยคุณได้เยอะ

 

  • คอร์สเรียนออนไลน์ต่าง ๆ
    เหมาะมากที่จะใช้เรียกได้ว่าไม่จำกัดวิชา ระดับผู้เรียน หรือประเทศที่ขายกันเลย ทำให้แนวทางการสอนของคุณไปได้ไกลกว่าที่เคยและทำเงินได้มากขึ้นโดยที่ใช้แรงเท่าเดิม

 

  • ขาย Woocommerce Plugin
    อยู่ใน Woocommerce จะขาย Plugin เองก็ไม่ผิดและยังขายให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้อีกด้วย แถมการขายอย่างเข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการช่วยเพิ่มยอดขายให้กับคุณได้เป็นอย่างดีแน่นอน

 

  • ระบบการจองต่าง ๆ
    ที่นิยมมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยวโรงแรม Woocommerce เข้ามาช่วยเพิ่มเอกลักษณ์และความง่ายดายในการหาข้อมูลรวมทั้งติด Search Engine ได้ง่าย ทำให้ถ้าคุณทำธุรกิจเหล่านี้ใช้โปรแกรมนี้รับรองว่าเหมาะและช่วยได้เยอะ

 

สิ่งที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ ควรเลือก Woocommerce ก็เพราะมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่พัฒนาอัพเดตเสมอไม่ว่าจะเป็นการโอนจ่ายเงินหรือตัดบัตรรวมทั้งเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นจ่ายเงินต่าง ๆ แถมในเรื่องของการขนส่ง โปรโมชั่น การจัดการออเดอร์ ระบบสำหรับสต็อก ก็เป็นสิ่งที่ Woocommerce เตรียมเอาไว้ให้คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีกด้วย

 

 

       รู้ทัน Woocommerce จะได้ไม่เสียเที่ยว

นี่ไม่ใช่ข้อเสียแต่เรียกว่าเป็นสิ่งที่อาจยังไม่ตอบโจทย์สำหรับบางคนที่จะใช้ Woocommerce มากกว่าโดยสิ่งเหล่านั้นก็อย่างเช่น

  • ฟีเจอร์เกี่ยวกับใบสั่งซื้อเป็นสิ่งที่คุณต้องเสียเงินเพื่อหามาใช้งานภายในโปรแกรมกันเอง แต่ก็ถือว่าราคาไม่แพงและถ้าคุณต้องการใช้งานส่วนนี้ก็คุ้มค่าที่จะลงทุน

 

  • ยังไม่สามารถเพิ่มอภิสิทธิ์ให้กับลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ ถ้าคุณมีระดับของลูกค้าแบ่งไว้แล้วล่ะก็ Woocommerce อาจยังไม่ตอบโจทย์

 

  • ถ้าอยากขายของใหญ่เราไม่แนะนำ เพราะยังจัดการระบบเกี่ยวกับสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ดูแลได้ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรอาจทำให้ธุรกิจของคุณมีปัญหาสะดุดได้

 

  • การคำนวณน้ำหนักสินค้ายังไม่เสถียร ต้องมีพนักงานหลังบ้านคอยตรวจสอบความถูกต้องกันอีกครั้งหนึ่ง

 

แพลตฟอร์มรวมทั้งโปรแกรมต่าง ๆ ในที่พัฒนากันออกมาในตอนนี้รวมทั้ง Woocommerce นั้นมีทั้งจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป ดังนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของกิจการกันแล้วว่าจะเลือกแบบไหนมาทำให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้ามากขึ้น และเราขอแนะนำ Woocommerce ให้เป็นหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่าการลงทุนสำหรับคุณ

 

มาดู! ทำ Website อย่างไรให้ปัง!

ถ้าพูดถึงคำว่าเว็บไซต์ขึ้นมาคงไม่มีใครไม่รู้จักกันอย่างแน่นอนว่าเว็บไซต์คืออะไร แต่อาจยังไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไรนักว่าจะทำเว็บไซต์ออกมาอย่างไรให้ปังและประสบความสำเร็จ เราเลยอยากลองรวบรวมเทคนิคจากบรรดา Website ชั้นนำมาแนะนำบอกต่อคุณกันเผื่อจะมีเทคนิคไหนที่เหมาะกับแนวทางของเว็บคุณจะได้ลองนำไปปรับใช้กัน เพราะยุคนี้ต้องจับนั่นผสมนี่เพื่อให้ออกมาตามเทรนและน่าสนใจมากที่สุด

รู้ให้ชัดก่อนว่าคุณจะสร้าง Website ไปเพื่ออะไร?

เรื่องของเป้าหมายในการสร้างเว็บไซต์ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับหนึ่งเพราะเป็นเหมือนแนวทางให้คุณเห็นว่ากำลังจะพาตัวเองไปในแนวทางไหน แต่ถ้าตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่าจะเริ่มตีกรอบแนวทางการทำเว็บไซต์อย่างไรเราขออนุญาตเป็นไกด์พาคุณมาวางโครงไปพรัอมกัน

1. เพื่อเป็นเว็บขายของ
การขายของออนไลน์น่าจะเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่จะทำเว็บไซต์ขายของอย่างไรให้ปังน่าจะเป็นคำถามที่หลายคนอยากได้คำตอบ ซึ่งถ้าคุณต้องการเน้นการขายเรื่องของภาพลักษณ์ การเข้าถึงที่ง่ายดาย เนื้อหาที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และการบริการที่ดีคือสิ่งที่คุณต้องเน้นเพื่อทำให้ Website ของคุณปัง

2. เพื่อเป็นเว็บ Blog
การทำเว็บบล็อกในยุคนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความนิยม และถ้าคุณต้องการทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเป้าหมายนี้สิ่งที่คุณต้องโฟกัสก็คือ การเล่าเรื่องในแบบที่ไม่ซ้ำใคร เนื้อหาต้องทำให้คนอ่านรู้สึกมีส่วนร่วม รูปภาพและดีไซน์ของบล็อกต้องดึงดูด และเน้นความสม่ำเสมอในการนำเสนอ

3. เพื่อเป็นเว็บไซต์ช่องทางข่าวสาร
เรื่องของข่าวมีหลากหลายด้านด้วยกันและเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องติดตามอยู่เสมอเพื่อให้ทันเหตุการณ์ดังนั้นเรื่องของความรวดเร็วทันใจเป็นพื้นฐานที่คุณจะต้องมี แนวทางการทำเว็บไซต์ข่าวที่ดีคือ ค้นหาข้อมูลที่แปลกใหม่มานำเสนออาจเป็นการนำข่าวสารจากต่างประเทศมาแปลให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น นำเสนอในแง่มุมที่มีจรรยาบรรณให้ข้อเท็จจริงที่จำเป็น สอดแทรกทั้งภาพ เสียง และวีดีโอเข้ามาให้เข้าใจการสื่อสารมากยิ่งขึ้น เป็นต้น

4. เพื่อให้เว็บไซต์เป็นช่องทางการสื่อสารของบริษัท
การมีบริษัทขึ้นมาและการมีเว็บไซต์ของบริษัทดูเหมือนจะเป็นของคู่กันไปแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่บริษัทนั้นมีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ให้ข้อมูล หรือนำเสนอความรู้รวมทั้งขายสินค้า แต่ขอแนะนำว่าควรเป็นสิ่งที่ลูกค้าได้ประโยชน์จะทำให้คุณสร้างความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

 

อยากเริ่มสร้างเว็บไซต์ต้องทำอย่างไรบ้าง?

1. การเริ่มวางแผนสำคัญที่สุด
ก่อนจะลงมือสิ่งที่คุณควรมีเอาไว้ก่อนก็คือข้อมูลคร่าว ๆ อย่างชื่อของเว็บไซต์ เป้าหมายในการทำเว็บไซต์ กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์คือใคร เนื้อหาจะเป็นไปในแนวทางไหน และอย่าลืมจัดแบ่งหมวดหมู่ของข้อมูลเอาไว้ให้เป็นระเบียบกันด้วย

 

2. เริ่มวางโครงของเว็บไซต์ให้เห็นภาพชัดขึ้น
ในส่วนนี้จะตามมาได้หลังจากที่คุณวางแผนเอาไว้ชัดเจน ขั้นตอนนี้เป็นเหมือนการเติมเต็มช่องว่าง โดยหลัก ๆ แล้วจะเริ่มต้นกันที่หน้า Home และแยกย่อยออกเป็นหมวดหมู่ที่คุณต้องการเช่น Gallery, Link, Contact และ Information โดยหมวดหมู่จะแยกย่อยไปอีกก็สามารถทำได้ตามที่คุณต้องการกันเลย

 

3. เริ่มทำการเชื่อมโยงในเว็บไซต์
คุณอาจต้องสมมุติตัวเองเป็นผู้ใช้งานแล้วว่าการเชื่อมโยงในเว็บมีความลื่นไหลและง่ายดายหรือไม่ ขั้นตอนนี้คุณจะต้องกำหนดว่าจะคลิกไปกลับในส่วนไหนได้บ้าง แต่ละหมวดหมู่จะเชื่อมไปที่ไหนต่อได้บ้าง เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงอย่างลงตัวช่วยทำให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายดายขึ้น

 

4. เริ่มขั้นตอนของการออกแบบ
รูปแบบหรือ Website Design หลัก ๆ แล้วจะมีด้วยกันอยู่ 3 ส่วนคือ Page Header, Page Body และ Page Footer ซึ่งถ้าจะถามว่าแต่ละตัวคืออะไรกันบ้างก็สามารถสรุปแบบคร่าว ๆ ดังนี้

  • Page Header คือหัวใจหลักในการดึงคนเข้ามาชมเว็บไซต์ต้องออกแบบให้น่าสนใจหลัก ๆ แล้วก็จะมี Website Logo, ชื่อของเว็บไซต์ที่ชัดเจนรวมทั้งเมนูเพื่อให้ผู้ชมท่องเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกสบาย

 

  • Page Body ส่วนเนื้อหาของเว็บไซต์ที่เป็นได้ทั้งข้อความ ภาพ เสียง และวีดีโอ ถ้าอะไรที่เป็นข้อมูลที่ต้องการสื่อสารเอาไว้ในส่วนนี้ได้เลย แต่ขอแนะนำว่าควรกระชับเข้าใจได้ง่ายและเร็ว

 

Page Footer ส่วนท้ายสุดของหน้าเว็บไซต์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นส่วนให้ผู้ใช้ได้ดูเพื่อนำทางไปส่วนต่าง ๆ ของเว็บและมักจะเน้นเอาไว้ใส่ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์อย่างเช่น ลิขสิทธิ์ ช่องทางติดต่อ นั่นเอง

 

5. เริ่มสร้างเว็บไซต์
ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนการดำเนินงานจะใช้โค้ดอะไร เวลา หรืองบประมาณเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของเว็บไซต์ที่คุณต้องการกันได้เลย

 

6. การขอลงทะเบียนเพื่อได้พื้นที่ในการทำเว็บไซต์
เหมือนเป็นการขอทะเบียนบ้านนั่นเอง โดยคุณสามารถที่จะเลือกผู้ให้บริการและจ่ายในราคาที่คุณต้องการได้ในส่วนนี้มักคุ้นเคยกับการเรียกกันว่าโดเมนเนมนั่นเอง

 

7. เริ่มจากอัพโหลดเว็บไซต์
มีหลากหลายโปรแกรมให้คุณนั้นได้อัพโหลดเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็น CuteFTP, Filezilla, WS_FTP หรือที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง WordPress หลังจากอัพโหลดเรียบร้อยก็ถึงเวลาท่องเว็บไซต์ของคุณแบบสมบูรณ์แบบกันแล้ว

 

คู่แข่งของคุณคือใครบ้างต้องรู้ให้ชัด

การรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีเป้าหมายเพื่ออะไร อยู่ในหมวดหมู่ไหน และกำลังสู้กับใครถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นคุณควรที่จะวางตำแหน่งของเว็บไซต์ของคุณเอาไว้ให้ดีว่าต้องการเป็นแบบไหนและสู้กับใครอยู่ เพราะนี่คือแนวทางการพัฒนาเว็บไซต์ที่เหมาะสมของคุณนั่นเอง
โดยเมื่อคุณสามารถระบุคู่แข่งได้ชัดเจนแนวทางในการทำงานของเว็บไซต์คุณจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะไม่มีทางเลยที่คุณจะเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีคู่แข่ง การทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นหลังจากสร้างออกมาแล้วถือเป็นความท้าทายที่สนุกไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

วิธีดึงคนมาเข้าเว็บไซต์ทำอย่างไรได้บ้าง?

  1. การทำ SEO คือพื้นฐานของการดึงคนมาเข้าเว็บไซต์ของเรา อย่างที่รู้กันดีการค้นหาจะติดอยู่ใน Search Engine และทำให้คนเข้าถึงคุณได้ง่ายที่สุดเพราะคุณคือสิ่งที่พวกเขากำลังต้องการนั่นเอง
  2. ลงโฆษณาในแพลตฟอร์มที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ส่วนใหญ่ในตอนนี้ก็จะนิยมโฆษณากับทาง Facebook, Google, Instagram หรือ Twitter แต่จะเลือกใช้ตัวไหนก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณกันอีกทีหนึ่ง

 

การทำเว็บไซต์ในช่วงเริ่มต้นนั้นยังถือว่าเป็นขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากนักเพราะมีทั้ง Website Template Free และเว็บไซต์สำเร็จรูปต่าง ๆ เตรียมเอาไว้ให้คุณมากมายที่เหลือก็แค่ให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ แต่ถ้าต้องการ Website Design ที่มีเอกลักษณ์ก็อาจจะต้องเขียนกันขึ้นมาใหม่ จะเลือกใช้โค้ดภาษาไหนมาเขียน และออกแบบให้น่าสนใจอย่างไรก็สามารถเลือกได้ แต่สิ่งที่ยากขึ้นมาก็คือการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและตามเทรนให้ทันนั่นเอง แต่เราเชื่อว่าถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนการทำเว็บไซต์จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอย่างแน่นอน

ของดีคู่ธุรกิจ Facebook Business Manager

การทำธุรกิจในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมากทั้งความรวดเร็วและนำเทรนรวมทั้งความแปลกใหม่ในการนำเสนอล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจถ้าอยากจะรอดและรุ่งจำเป็นที่จะต้องพุ่งไม่หยุด ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณนั้นพุ่งได้เร็วและไกลก็คือ Facebook Business Manager นั่นเอง ถ้าคุณยังไม่เข้าใจการทำงานที่แท้จริงของเครื่องมือชิ้นนี้ได้เวลาแล้วที่จะมาลงลึกไปพร้อมกับเรา

Facebook Business Manager คืออะไรกันแน่

คำถามสุดเรียบง่ายที่ต้องได้คำตอบก่อนจะไปต่อกัน ซึ่ง Facebook Business Manager นั้นจะใช้เพื่อให้เจ้าของเพจหรือเจ้าของธุรกิจทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคำว่ามีประสิทธิภาพที่คุณจะได้จาก Facebook Business Manager นั้นจะมีอะไรบ้างมาดูกัน

  • คุณจะสามารถเจอกับผลลัพธ์ในกรยิงโฆษณาของคุณว่ามันสามารถทำงานให้คุณได้ดีและคุ้มค่ามากแค่ไหน ซึ่งถ้าดีถือว่ามาถูกทางและหาทางต่อยอดต่อไป ส่วนถ้าไม่เวิร์คคุณจะได้กลับลำทันและไม่เสียค่าโฆษณาไปแบบฟรี ๆ นั่นเอง

 

  • ในตอนนี้มีสิ่งที่เรียกกันว่าทรัพย์สินทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นและ Facebook Business Manager ทำให้คุณสามารถจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น

 

  • คุณสามารถแบ่งหน้าที่และสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ภายในเพจได้อย่างชัดเจน
    นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ธุรกิจควรนำไปพิจารณาซึ่งเกือบ 100% ไม่มีธุรกิจไหนที่จะไม่เหมาะกับการใช้ Facebook Business Manager ดังนั้นวันนี้เราเจอกันถูกที่ถูกเวลาแล้วมาเปิดใจเรียนรู้ฟีเจอร์นี้จาก Facebook กันเลยดีกว่า

 

คุณควรใช้ Facebook Business Manager แล้วหรือยัง

อย่างที่เราได้เกริ่นไปในตอนต้นแล้วว่ายุคนี้ใครก็ต้องใช้ตัวช่วยเพื่อให้ธุรกิจของตัวเองพุ่งแรงกันทั้งนั้นซึ่งการใช้ Facebook Business Manager กับธุรกิจนั้นมีส่วนช่วยได้เป็นอย่างมาก ลองคิดดูว่าถ้าคุณต้องมานั่งนับวันเวลาจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในเพจจากแต่ละโพสต์เองนั้นต้องเสียต้นทุนด้านเวลาไปแค่ไหน แล้วยังต้องมาบวกลบคูณหารกันอีก เมื่อมี Facebook Business Manager เอาไว้ในมือแล้วหัดใช้งานคุณจะเห็นผลลัพธ์ได้แบบ Real Time และนำข้อมูลเหล่านั้นมารวมกันเป็นสถิติเพื่อต่อยอดกันต่อไป เปรียบเหมือนกับการมีผู้ช่วยส่วนตัวในด้านการจัดการของมูลเพจอย่างไรอย่างนั้น โดยคุณสามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้กันได้แบบไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย

ซึ่งถ้าคุณเข้าข่ายนักธุรกิจเหล่านี้อย่าง เจ้าของธุรกิจที่มีทีมพร้อมทำการตลาด, คนที่มีสินทรัพย์ทางดิจิทัลมากกว่าแค่ 1, ธุรกิจที่มีการจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาทำการตลาด, ธุรกิจที่อยากสร้างความเติบโตในวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และเจ้าของธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยในการบริหารข้อมูล คุณคือคนหรือธุรกิจที่ควรใช้ Facebook Business Manager

ฟีเจอร์ไหนที่ไม่ควรพลาดบน Facebook Business Manager

  1. เจอร์ที่ช่วยให้จัดการเพจได้หลากหลาย
    ในตอนนี้หลายคนมีธุรกิจและเพจมากกว่า 1 เพจที่ต้องดูแล ดังนั้นจะดีกว่าไหมถ้ามีเครื่องมือที่สามารถสลับการใช้งานให้คุณเข้าถึงขอมูลจากเพจต่าง ๆ ของตัวคุณเองได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องของบัญชีทางการเงิน โดยเราเชื่อว่ามีหลายคนที่มีหลายเพจแต่ว่าแต่ละเพจนั้นมีบัญชีการเงินต่างกัน คุณสามารถใส่ข้อมูลทางการเงินเข้าไปและกดให้ตัดยอดค่าใช้จ่ายได้ตามแผนธุรกิจของคุณได้เลยในฟีเจอร์ Ad Account
  2. อยากได้กลุ่มเป้าหมายแบบเจาะลึก Facebook Business Manager ช่วยได้
    กลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องเหมาะสมคือหัวใจหลักของการทำธุรกิจ เมื่อคุณเลือกเสนอของให้กับคนที่อยากซื้ออย่างไรก็ได้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน และ Facebook Business Manager สามารถช่วยคุณให้หาลูกค้าเจอได้ง่ายดายขึ้นด้วยการใช้ Custom Audience รวมทั้ง Lookalike Audience บอกเลยว่าคุณจะเจอลูกค้าที่ต้องการและได้เจอกับคนที่คุณอาจคาดไม่ถึงว่าจะมาเป็นลูกค้าคุณอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคุณสามารถนำข้อมูลไปต่อยอดและอาจเกิดเป็นไอเดียใหม่ของธรกิจคุณได้เลยทีเดียว
  3. พาคุณเข้าถึงข้อมูลได้ลึกกว่าที่เคย
    คุณจะเข้าใจกลุ่มหมายอย่างชัดเจนเพราะหลังจากแคมเปญหนึ่งของคุณสิ้นสุดลงคุณจะได้พบกับ Audience Insight ซึ่งบางครั้งอาจไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณวางเอาไว้ตั้งแต่แรกแต่นี่กลับเป็นกลุ่มที่สนใจสินค้าของคุณ และคุณยังสามารถเห็นแคมเปญของคุณก่อนจะลงสู่สายตาประชาชนจริง ๆ ด้วย Campaign Planner และสุดท้ายยังมี Facebook Analytics ช่วยคุณวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดของแคมเปญโฆษณาที่พึ่งจบไปอย่างละเอียด ทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่คุณมาถูกทางและผิดทาง

 

 

 

ทำไมต้อง Facebook Business Manager

1. คุณสามารถลดข้อผิดพลาดทางเทคนิคลงได้

สำหรับการใช้ Facebook Business Manager มีส่วนช่วยให้คุณผิดพลาดน้อยลงมาก เพราะคุณจะได้วิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายและเห็นแคมเปญก่อนลงทุกครั้งในมุมมองที่ลูกค้าเห็นจริง ๆ และหากคุณเกิดความผิดพลาดก็ยังมีระบบคอยช่วยแก้ไขให้กับคุณซึ่งจะไม่กระทบกับแผนที่คุณวางไว้ บอกเลยว่า Facebook Business Manager คิดมาเพื่อช่วยธุรกิจ

2. คุณสามารถขยายตลาดไปได้ไกลกว่าที่คิด

คุณจะเข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้อย่างไรถ้าไม่มีการโฆษณาแบบไร้พรมแดนซึ่งแน่นอนว่าคุณสามรถระบุพื้นที่ในการโฆษณาไปได้ไกลสุดขอบโลก นี่คือเครื่องมือที่ช่วยเปิดโอกาสให้กับธุรกิจของคุณ เพียงแค่คุณเปิดใจรับโอกาสเท่านั้น Facebook Business Manager ยังมีอะไรสนุก ๆ ที่คอยพัฒนาเพื่อคุณอีกเพียบ

 

ใครที่ทำธุรกิจและมีเพจอยู่แล้วลองเข้าไปที่ฟีเจอร์ Facebook Business Manager กันดูจะทำให้คุณค้นพบกับข้อมูลมหาศาลของธุรกิจคุณที่มันสามารถเข้าถึงได้ฟรี ๆ แบบไม่มีข้อจำกัด คุณจะเจอแนวทางในการทำการตลาดใหม่ ๆ เข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ได้เวลามาขยายตลาดและเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจของคุณกันแล้ว

 

 

 

WordPress ของดีตัวช่วยนักธุรกิจรุ่นใหม่

ในตอนนี้เชื่อเลยว่าทุกคนกำลังพยายามมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมรายได้และเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจรวมทั้งการเงินกันอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำหรือทำธุรกิจส่วนตัวอยู่สิ่งที่เรียกกันว่า WordPress ก็ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีของคุณ และเราก็ยังเชื่ออีกว่าช่วงหลัง ๆ มานี้คุณได้ยินคำว่า WordPress หนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจเริ่มเกิดความสนใจปนสงสัยไปพร้อม ๆ กันว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่จะสามารถเข้ามาช่วยเสริมช่องทางการทำเงินให้กับคุณได้จริง ๆ หรือไม่ แล้วถ้าใช้งานจริง ๆ จะคุ้มค่ากับการศึกษาลงทุนมากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าวันนี้เราพร้อมแล้วที่จะเข้ามาช่วยไขข้อข้องใจเหล่านั้นและทำให้คุณเข้าใจแบบลึกซึ้งว่าจริง ๆ แล้ว WordPress คืออะไร

 

เริ่มต้นง่าย ๆ กับการรู้จัก WordPress กันก่อน

แนะนำกันแบบเรียบง่ายที่สุดก็ต้องบอกว่า WordPress นั้นคือ โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อที่จะใช้ WordPress สร้างเว็บในแบบที่คุณต้องการได้แบบง่าย ๆ นั่นเอง โดยถ้าจะเรียกตามศัพท์อย่างเป็นทางการก็จะเรียกโปรแกรมประเภทนี้ว่า Contents Management System และมักย่อกันว่า CMS

ความสะดวกสบายและแสนจะง่ายดายจนทำให้ WordPress ได้รับความนิยมก็เป็นเพราะว่าคุณสามารถที่จะใช้ WordPress สร้างเว็บกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องโหลดโปรแกรมอะไรลงเครื่องเลยเพราะสามารถสร้างกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ ขั้นตอนก็ง่าย ๆ เพียงแค่สมัครและทำการ WordPress Login เพียงเท่านี้ช่องทางการสร้างรายได้ของคุณก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

WordPress มีถึง 2 แบบให้คุณได้เลือกใช้

ถ้าคุณเริ่มสนใจเราก็ขอบอกเลยว่า WordPress นั้นออกแบบให้คุณได้เลือกใช้ตามไลฟ์สไตล์กัน 2 แบบด้วยกัน โดยแบบแรกก็คือ WordPress.com ส่วนอีกแบบจะเรียกกันว่า WordPress.org ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 แบบมาพร้อมความเหมือนกันตรงที่คุณสามารถใช้ WordPress สร้างเว็บได้ง่าย ๆ ไม่ต้องมาเขียนสารพัดโค้ดอย่าง PHP HTML หรือ CSS กันให้ปวดหัวแต่ความแตกต่างของ 2 แบบนี้ก็คือ

1. WordPress.com

ตัวนี้คุณสามารถที่จะใช้งานกันได้แบบฟรี ๆ ซึ่งแน่นอนว่าของฟรีก็อาจมีข้อจำกัดบ้างเล็กน้อยซึ่งคุณจะเข้าถึงการปรับ Theme และพวก Plugin ได้เพียงเล็กน้อยเพราะมีส่วน Free WordPress Theme มาไว้ให้คุณแล้วนั่นเอง แต่ก็เหมาะมากกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้และยังไม่อยากลงทุนมากนัก แต่ถ้าเริ่มคุ้นเคยและเห็นช่องทางการพัฒนา WordPress ของตัวเองกันมากขึ้นแล้วคุณอยากจะลองเข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ของ WordPress มากขึ้นก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันโดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 130 บาทเท่านั้นและถ้าต้องการเข้าถึงอย่างเต็มที่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงสุดอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1,500 บาทต่อเดือน โดยแน่นอนว่าคุณสามารถเลือกเพิ่มลดเครื่องมือในการดีไซน์ WordPress ได้ตามใจคุณกันเลย

2. WordPress.org

ตัวนี้มีความคล้ายกับ WordPress.com แต่ต่างกันที่คุณสามารถดีไซน์ WordPress Theme ได้อย่างอิสระ และถ้าคุณต้องการดึงในส่วนของ Theme กับ Plugin จากที่อื่นมาใช้ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่แน่นอนที่สุดว่าความอิสระนี้ย่อมแลกมากับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น โดย WordPress.org มีความเหมาะกับธุรกิจองค์กรที่มีขนาดกลางขึ้นไปมากกว่าแบบรายย่อยหรือธุรกิจขนาดเล็ก

 

ใครที่เหมาะจะใช้ WordPress

อ่านกันมาถึงตรงนี้คุณอาจเริ่มคิดกันแล้วว่าใครจะเหมาะกับการใช้ WordPress กันบ้างเราก็ขอสรุปสั้น ๆ ว่าจริง ๆ เหมาะกับทุกคนเพราะตั้งใจออกแบบมาให้ทุกคนเข้าถึงและใช้งานกันง่ายมากที่สุด แต่ถ้าเราจะไล่กันจริง ๆ ก็แนะนำว่าถ้าคุณเข้าข่ายเหล่านี้ก็เริ่มใช้ WordPress กันได้เลยแบบไม่ต้องคิดมาก

  • Blog       ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งที่เราโหวตให้ใช้ WordPress ในการทำเพราะคุณสามารถเพิ่มเอกลักษณ์ของตัวเองไปพร้อมกับความง่ายดายในการใช้งาน

 

  • Review  ใครที่ชอบเขียนรีวิวเป็นชีวิตจิตใจก็บอกเลยว่าเหมาะจะเข้ามาใช้งานโปรแกรมสุดง่ายดายตัวนี้เช่นเดียวกัน

 

  • News     แต่อาจยังไม่ใช่ข่าวแบบ Realtime เป็นข่าวสารที่เน้นการอัพเดตตามเทรน การให้ความรู้ข้อมูล นำเสนอความหลากหลายของข้อมูล WordPress ช่วยให้คุณลดต้นทุนในการทำเว็บไปได้เยอะเลยทีเดียว

 

  • Portfolio   ถ้าคุณต้องการดีไซน์เว็บเพื่อที่จะนำเสนอผลงานและประสบการณ์ของคุณล่ะก็สามารถทำได้ใน WordPress แถมการดีไซน์เหล่านี้ยังช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้คนที่เข้ามาชมผลงานของคุณได้อีกด้วย

 

  • SEO        คือสิ่งที่เหมาะกับการใช้ WordPress มากที่สุดอีกอย่างหนึ่งเพราะจะช่วยให้คุณติดอันดับการค้นหาทั้งใน Google, Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้นด้วย

WordPress นั้นยังสามารถทำให้คุณเชื่อมต่อข้อมูลได้แบบนานาชาติเพราะมี Plugin ที่จะเข้ามาช่วยแปลกข้อมูลกว่า 196 ภาษาและยังทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นแนวทางการสื่อสารและกระจายข้อมูลที่มีคุณภาพในปัจจุบันเลยก็ว่าได้

 

ทำไมคุณถึงควรเลือก WordPress

  • ให้บริการฟรี นี่คือข้อแรกที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับการเริ่มต้นของใครหลาย ๆ คน โดยจุดนี้ยังเป็นพื้นฐานของการต่อยอดที่ดีให้กับคุณได้อีกด้วย
  • ตอบโจทย์ธุรกิจและการใช้งานหลากหลายสไตล์ เพราะมีทั้ง WordPress Free Theme และ Free Plugin รวมทั้ง WordPress วิธีใช้มากมายให้คุณได้เลือกศึกษา แถมยังใช้งานง่ายมาก
  • ช่วยทำให้การทำงานของ SEO มีประสิทธิภาพและสร้างการเข้าถึงให้กับธุรกิจของคุณได้ดียิ่งขึ้น
  • มีความปลอดภัยให้คุณใช้งานได้อย่างสบายใจ
  • สามารถเชื่อมต่อกับหลากหลายบริการได้ทั้ง Plugin และบรรดา Software ต่าง ๆ ซึ่งดูเหมือน WordPress ยังมีการพัฒนาระบบอยู่เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องและดูวี่แววแล้วน่าจะไปได้อีกไกลอย่างแน่นอน

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาแนวทางในการสร้างเงินเพิ่มรายได้และแนวทางการสื่อสารแบบใหม่ ๆ เราขอแนะนำเลยว่า WordPress คือสิ่งที่เหมาะกับการเรียนรู้และสร้างสรรค์สำหรับคุณ เพราะนี่คืออีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เป็นเทรนอยู่ในขณะนี้ผู้คนกำลังให้ความสนใจและยังคงได้รับความนิยมไปอีกเรื่อย ๆ เมื่อคุณรีบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งตั้งแต่วันนี้ก็ถือว่าเป็นการปูทางที่ดีให้กับตัวคุณอย่างแน่นอน

Facebook Ads Manager หนึ่งกลยุทธ์เจ้าของธุรกิจต้องรู้

สำหรับ Facebook นั้นไม่น่าจะต้องแนะนำกันแล้วเพราะยุคนี้กลายมาเป็นเหมือนกับสิ่งที่ต้องมีอยู่ในกลยุทธ์ของธุรกิจเกือบ 100% แต่เครื่องมืออย่าง Facebook Ads Manager นั้นเป็นเหมือนส่วนเสริมที่กำลังขยับความสำคัญมารันวงการมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้าคุณกำลังจะทำธุรกิจต้องไม่ใช่แค่การเสียเงินเพื่อโปรโมทธุรกิจอย่างที่เคยชินเท่านั้น แต่คุณจำเป็นต้องรู้จักกับ Facebook Ads Manager ให้ละเอียดขึ้นเพื่อที่จะสามารถใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้คุ้มค่ากับการลงทุนและนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดธุรกิจกันต่อได้นั่นเอง

Facebook Ads Manager คืออะไร

นิยามได้ว่า Facebook Ads Manager นั้นเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยธุรกิจขนาดย่อยไปจนถึงขนาดใหญ่ให้สามารถไขประตูไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้ เพราะ Facebook Ads Manager นั้นจะเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าให้กับธุรกิจของคุณ ซึ่งจะมีทั้งรูปแบบกราฟ ตัวเลข ข้อมูลสรุป แน่นอนว่าคุณจะเข้าใจกลุ่มลูกค้ารวมทั้งพฤติกรรมของพวกเขามากขึ้น และสามารถวางแผนการโฆษณาในอนาคตให้ถูกจุดและโดนใจกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือเป้าหมายที่ Facebook Ads Manager ต้องการมอบให้กับคุณนั่นเอง

 

 

ฟีเจอร์น่าสนใจร่วมกับ Facebook Ads Manager

– Facebook Audience Insight

เครื่องมือที่จะเข้ามาทำให้คุณสามารถเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่อยากได้เพิ่มมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ภาพรวมข้อมูลทั่ว ๆ ไปของประชากรตั้งแต่อายุ เพศ การศึกษา ตำแหน่งงาน ความสัมพันธ์ จากนั้นก็จะสามารถมาดูความชอบแบบต่าง ๆ ได้ว่ามีใครเป็นกลุ่มเป้าหมายบ้าง และปิดท้ายที่ข้อมูลแนวไลฟ์สไตล์และที่อยู่อาศัยเพื่อให้คุณสามารถนำข้อมูลไประบุการโฆษณาได้เจาะจงขึ้นนั่นเอง

– Facebook Page Insight

นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของเพจคุณชัดเจนมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่ามันมีส่วนช่วยทำให้คุณนำเสนอข้อมูลออกมาได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง โดยคุณจะสามารถย้อนดูข้อมูลในช่วง 4 สัปดาห์ของเพจคุณได้อย่างละเอียด โดยจะเห็นสถิติว่าคนเข้ามาชมเพจคุณมากที่สุดวันไหนช่วงไหน ดูเนื้อหาแบบไหนมากที่สุด ชื่นชอบหรือแชร์เนื้อหาอย่างไร แน่นอนว่าพอคุณรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายชอบอะไรก็จะผลิตข้อมูลมาเสิร์ฟได้ตรงใจยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

ใช้ Facebook Ads Manager อย่างไรให้คุ้ม

Facebook Ads Manager ในตอนนี้พัฒนาแบบภาษาไทยมาให้คุณได้ใช้งานกันแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนสามารถเข้าใจรายละเอียดภายใน Facebook Ads Manager ได้ง่ายดายขึ้น ซึ่งเราก็เลยได้นำเทคนิคที่จะช่วยให้คุณใช้งานฟีเจอร์นี้ได้คุ้มค่ามากขึ้นมาฝากกัน

โดย Facebook Ads Manager หรือตัวจัดการโฆษณานั้นจะใช้ได้คุ้มค่าที่สุดก็ต่อเมื่อคุณหมั่นเข้ามาตรวจสอบข้อมูลผลลัพธ์การโฆษณาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบแคมเปญหรือชุดของการโฆษณารวมทั้งภาพรวมของการโฆษณาของคุณทั้งหมด ซึ่งคุณสามารถทำตามคำแนะนำที่ทาง Facebook Ads Manager วิเคราะห์มาให้คุณได้ เช่น เพิ่มจำนวนงบการโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลสถิติที่บ่งชี้ว่าเป็นการเข้าถึงที่อาจทำให้คุณได้ยอดขายที่ต้องการ และการศึกษาขั้นตอนตามที่ Facebook Ads Manager แนะนำตลอดนั้นก็ถือว่าเป็นความคุ้มค่าอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้

และถ้าอยากจะให้การโฆษณาของคุณได้ผลและคุ้มค่ามากขึ้นนั้นคุณก็จะต้องสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจงมากพอ พิจารณาว่าคุณนั้นลงโฆษณาถูกตามหลักของ Facebook และยังคอยเปลี่ยนการโฆษณาให้ตามเทรนและตามกลุ่มลูกค้าให้ทันเสมอ โดยต้องเข้าใจว่าทุกครั้งที่คุณยิงโฆษณาไปคือการเรียนรู้ทั้งนั้นเพราะเทรนในโลกออนไลน์เกิดขึ้นและหายไปเร็วมากไม่มีทางที่จะเป็นแบบเดิมได้ตลอดไป

ข้อควรระวังของ Facebook Ads Manager

สำหรับการใช้งาน Facebook Ads Manager นั้นมีข้อควรระวังอยู่บ้าง เพราะเป็นกฎกติกาของ Facebook ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้การโฆษณาได้มาตรฐานที่สุดนั่นเอง ส่วนจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

1. เนื้อหาที่ Facebook จำกัด

อย่างเนื้อหาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์จะมีขั้นของอายุที่สามารถเข้าถึงในแต่ละประเทศต่างกัน แต่บางประเทศอาจมีการห้ามไม่ให้มีการโฆษณาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์เกิดขึ้นเลย

2. การพนันด้วยการใช้เงินจริง

ไม่ว่าจะเป็นเงินสกุลไหนถ้าเข้าข่ายว่าเป็นการโฆษณาเชิงการพนันและมีกติกาให้ใช้จ่ายเงินจริงเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเดิมพันจะไม่สามารถทำการโฆษณาได้

3. สินค้าและกิจกรรมเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

ถ้าคุณขายสินค้าเกี่ยวกับการลดความอ้วนหรือคอร์สเพื่อลดความอ้วนอาจต้องทำการศึกษากฏกันให้ดีเพราะถ้าคุณเลือกโฆษณาแบบตรง ๆ จะไม่มีวันผ่าน Facebook อย่างแน่นอน

4. ข้อความในรูปภาพที่มากเกินไป

เชื่อว่าการออกแบบผู้ประกอบการหลาย ๆ คนอยากให้ลูกค้าเห็นรูปแล้วเข้าใจเลยว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร แต่การที่รูปของคุณนั้นมีข้อความอยู่เกิน 20% ของภาพจะทำให้โฆษณาไม่ผ่านการอนุมัติ ดังนั้นคุณควรจะดูสัดส่วนของข้อความในรูปของคุณให้ดี

สำหรับใครที่ยิงโฆษณาใน Facebook กันอยู่แล้วการเข้ามาดูข้อมูลและจัดการโฆษณาด้วย Facebook Ads Manager มีส่วนช่วยทำให้ระบบของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ และยังเป็นการใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์เพื่อที่จะได้วิเคราะห์พัฒนาการวางแผนการตลาดให้เหมาะยิ่งขึ้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปปรับใช้ได้กับการโฆษณาในสื่ออื่น ๆ ด้วยเพราะคุณได้รู้จักพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้องแล้วนั่นเอง บอกเลยว่า Facebook Ads Manager มีส่วนช่วยให้ธุรกิจของคุณไปข้างหน้าได้มากกว่าที่คิด